โศกนาฏกรรมที่ไม่คาดฝัน: ครอบครัวรับศพ “รอง หรั่ง” ผู้เสียสละชีวิตในหน้าที่

ในวันที่ 22 กรกฎาคม 2567 บรรยากาศแห่งความโศกเศร้าปกคลุมบริเวณตึกภาควิชานิติเวชศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช เมื่อครอบครัวของ พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ จันยะรมณ์ หรือที่รู้จักกันในนาม “รอง หรั่ง” เดินทางมารับศพของเขา หลังจากเหตุการณ์สลดใจที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 20 กรกฎาคม

เหตุการณ์อันน่าสลดใจเกิดขึ้นเมื่อ พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ รอง ผกก.ป.สน.ท่าข้าม ได้เข้าระงับเหตุจับตัวประกันในหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านบางบอน กรุงเทพมหานคร โดยคนร้ายคือนายบุญมา หรือ “เฮียตุ๊ง” วัย 49 ปี ได้จับลูกสาววัย 15 ปีเป็นตัวประกัน ก่อนจะใช้อาวุธปืนยิงใส่ พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ จนเสียชีวิต นอกจากนี้ยังมีตำรวจนายหนึ่งได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย

ความกล้าหาญและการเสียสละของ “รอง หรั่ง”

พ.ต.ท.หญิงจิราวรรณ ธัญญะเจริญ พี่สาวของผู้เสียชีวิต ได้เปิดเผยถึงความเป็นมาของครอบครัวและตัว พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ ว่าเติบโตมาจากครอบครัวที่ยากจน โดยบิดาประกอบอาชีพขับสามล้อเพื่อส่งเสียลูกทั้ง 4 คนให้ได้เรียน ด้วยความหวังว่าการเป็นตำรวจจะทำให้ลูกๆ ไม่ถูกรังแก แม้จะมีเพียง 3 คนในครอบครัวที่ได้เป็นตำรวจ แต่ พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ ก็ได้ทุ่มเทให้กับหน้าที่อย่างเต็มที่

พ.ต.ท.หญิงจิราวรรณ เล่าต่อว่า น้องชายของเธอเป็นคนดีและทุ่มเทให้กับงานอย่างเต็มที่ แม้กระทั่งเมื่ออยู่บ้าน เขาก็ยังคอยฟังวิทยุตำรวจเพื่อติดตามสถานการณ์ต่างๆ ตลอดเวลา นอกจากนี้ เขายังดูแลมารดาที่ป่วยติดเตียงไปพร้อมๆ กับการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่เคยบ่นหรือขอลดภาระงาน

ความทรงจำและความภาคภูมิใจในวีรบุรุษผู้จากไป

พี่สาวของ พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ ยังเล่าถึงประสบการณ์การทำงานของน้องชายว่า เขาได้ผ่านการทำงานในหลากหลายตำแหน่ง ตั้งแต่เจ้าหน้าที่จราจรไปจนถึงรองผู้กำกับฝ่ายปราบปราม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทและความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ของเขา แม้ว่าจะเหลือเพียงปีสุดท้ายก่อนเกษียณ แต่เขาก็ยังคงทำหน้าที่อย่างเต็มที่จนวินาทีสุดท้าย

พ.ต.ท.หญิงจิราวรรณ กล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า “น้องชายของฉันได้ทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ไม่ว่าเขาจะไปเกิดในภพภูมิใดก็ตาม เขาจะไม่มีวันอายใครในอาชีพที่เขาได้ทำมาตลอดชีวิต”

บทสรุป: ความสูญเสียที่ไม่มีผู้แพ้ผู้ชนะ

ในท้ายที่สุด พ.ต.ท.หญิงจิราวรรณ ได้แสดงทัศนคติที่น่าชื่นชมต่อเหตุการณ์อันน่าเศร้านี้ โดยกล่าวว่า “เหตุการณ์นี้ไม่มีใครผิดหรือถูก มันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ทั้งลูกของผู้ก่อเหตุและตำรวจที่เสียชีวิตต่างก็ไม่ได้มีความผิด มันเป็นเหมือนโชคชะตา” เธอยังเสริมว่าครอบครัวของเธอจะพยายามทำใจและไม่มีความโกรธแค้นใดๆ เพราะทุกฝ่ายต่างก็ได้รับความสูญเสีย

เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนที่แสดงให้เห็นถึงความเสียสละของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อความปลอดภัยของประชาชน และยังเป็นเครื่องเตือนใจให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสังคมอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต